วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บ่อเกิดแห่งปัญญา...

เราต้องเข้าใจชัดเจนทั้งสองอย่าง
ในการปฏิบัติของเรา เราต้องพยายามติดตามดูความรู้สึกนึกคิด
ตลอดวันตลอดคืน ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะเมื่ออยู่ที่วัด
ตั้งแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานหรือเที่ยวไป
ก็ตามพยายามคอยระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองติดตามศึกษา..
 ความจริงเราไม่ต้องทำอะไรมาก
เพียงแต่คอยสำรวมระวังคอยสังเกตว่า
เรามีความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร
ให้มีสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้อยู่ รู้สึกตัวอยู่เสมอ
อันนี้ให้ถือเป็นหน้าที่ของเรา
เราไม่ต้องอ่านหนังสือหรือฟังเทศน์ อะไรมากมาย
เพียงแต่พยายามเปลี่ยนนิสัยให้ เป็นคนช่างสังเกต
คือ สังเกตความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

สังเกตว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร
การปฏิบัติเช่นนี้ การพยายามติดตามสังเกตเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญญา

โรงเรียนธรรมชาติ


วันนี้เป็นวันหยุด ครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาบางคนชักชวนกันเข้าป่าหาเห็ดในป่าโคกหีบ ป่านี้เป็นป่าอนุรักษ์ของตำบลโคกกลางที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเลย เราตื่นตั้งแต่ตีห้า โดยนำไฟฉายไปด้วย ขับรถมอเตอร์ไซต์ 2 คันซ้อนกันไปทั้งหมดสี่คน เมื่อหาที่จอดรถได้แล้วเราก็แยกเป็นสองกลุ่มเพื่อเดินหาเห็ดกัน ใช้เวลาแค่ประมาณชั่วโมงครึ่งเราก็ได้เห็ดพอที่จะแกงและทำน้ำพริกเห็ดได้แล้ว และยังเก็บผักติ้ว ผักหลอดมาใส่ในแกงเห็ดและกินกับน้ำพริกด้วย เห็ดที่เราเก็บได้มีทั้งเห็ดไค เห็ดน้ำหมาก เห็ดดิน เห็ดถ่าน เห็ดเพ็ก และเห็ดมันปู
หลังจากกลับมาที่โรงเรียนแล้วเรายังมาเก็บเห็ดโคนที่โรงเรียนได้อีก เห็ดโคนมักจะออกเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามหญ้า และใต้ต้นไม้ที่มีใบไม้หล่นปกคลุมอยู่ นอกจากนี้เรายังเก็บผักบุ้งนาของโรงเรียนมากินกับน้ำพริกด้วย เช้านี้เรารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมเพื่อนครูเป็นสิบคนที่มาร่วมกินแกงเห็ดแสนอร่อย และน้ำพริกเห็ดไคสุดแซบ

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เด็กๆ ใครเป็นผู้สร้าง


เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า
การพัฒนาเด็กเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ซึ่งแน่นอนพ่อแม่และครูต้องช่วยกัน ส่วนผู้ใหญ่คนอื่นถ้าได้เข้ามามีส่วนร่วมกันมากๆ ก็ยิ่งเป็นเครือข่ายในการสร้างเด็กเพื่อเป็นเยาวชนของประเทศ วันนี้(20 ตุลาคม 53)ก็เช่นเดียว ครูอ้นและอาจารย์นฤมลก็มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ครูอ้นยังรับเด็ก 2 คนมาเรียนรู้กับครูอ้นที่ผืนป่าระเมียรไม้ซึ่งเป็นบ้านครูอ้นในช่วงปิดเทอม ถึงแม้ว่าครูอ้นจะไม่ได้เป็นครูในระบบก็ตาม ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่เห็นคุณค่าของการพัฒนาเด็กให้เป็นคนดีค่ะ

เราจะเลือกดีใจหรือเสียใจ


วันหนึ่งแม่กับลูกสาวชื่อน้องแนน พากันไปกราบขอพรผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ตนเองนับถือที่อยู่ในหมูบ้านภายในอำเภอเดียวกัน ผู้ใหญ่ท่านนี้อายุมากแล้วและมีคนนับถือมากมายทั้งในจังหวัดเดียวกันและต่่างจังหวัดไกลๆ ท่านมีความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรคและไม่เคยคิดเงินเวลาคนมารักษา ท่านเป็นคนดีมีเมตตามาก ชื่อเสียงท่านเป็นที่รู้จักมานานทุกคนที่มาก็อยากจะเข้าพบท่าน แค่ได้คุยกับท่าน เห็นรอยยิ้มของท่าน ก็ราวกับจะหายป่วยแล้ว น้องแนนเดินทางกลับมาจากที่ทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน ซึ่งทั้งสองคนเคยได้รับการรักษาจากผู้ใหญ่ท่านนีั้้้ สองแม่ลูกจึงตั้งใจจะไปกราบและนำของมาเยี่ยมท่านผู้ใหญ่ด้วย โดยที่ลูกสาวเพิ่งพักผ่อนได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะขับรถมาไกล พอไปถึงบ้านผู้ใหญ่ก็มีหลานสาวของผู้ใหญ่บอกให้รอก่อน โดยบอกว่า "ท่านผู้ใหญ่พักผ่อนอยู่ท่านไม่ค่อยสบาย ขอให้รอถึงบ่ายสองโมง" แม่ลูกต้องรออีกประมาณสองชั่วโมง เมื่อถึงบ่ายสองตามที่หลานสาวของผู้ใหญ่นัดไว้ น้องแนนก็เข้าไปถาม หลานผู้ใหญ่ตอบว่า "ท่านยังไม่ตื่นเลย" น้องแนนก็เสียใจเพราะตัวเองขับรถมาไกลมาก ไม่อยากมาเสียเที่ยวจึงเข้าไปอ้อนวอนหลานผู้ใหญ่ว่า "ฉันเดินทางมาตั้ง 300 กิโลเมตร ขอให้ฉันได้เข้าไปเยี่ยมท่านผู้ใหญ่เถอะนะ" และแม่ก็เข้าไปรบเร้าหลานสาวผู้ใหญ่ด้วย เมื่อหลานสาวผู้ใหญ่เห็นความตั้งใจจึงเข้าไปดูว่าผู้ใหญ่ตื่นหรือยัง และเดินมาบอกว่า "ท่านตื่นแล้ว แต่ท่านพูดไม่ได้แล้วนะ ท่านกำลังไม่สบาย ให้แค่เอาของมาให้ท่านก็พอ" แม่ลูกดีใจมากและตามหลังหลานสาวผู้ใหญ่เข้าไปในห้อง พอเข้าไปก็เห็นมีกลุ่มคนสองสามคนนั่งรออยู่ และผู้ใหญ่ก็ลุกขึ้นนั่งได้ ลูกสาวก็ดีใจแสดงว่าผู้ใหญ่ไม่ได้ถึงกับนอนซมและก็อยากจะปรึกษาปัญหาสุขภาพของตนเองด้วย พอแขกที่มาเยี่ยมกลุ่มแรกเสร็จแล้ว น้องแนนก็ขอหลานสาวผู้ใหญ่ว่า "ขอคุยกับพ่อผู้ใหญ่ได้ไหม" หลานสาวผู้ใหญ่บอกทันทีว่า "ไม่ได้ ท่านไม่สบาย หมอสั่งห้ามพูด แค่ให้เข้ามาเยี่ยมก็ดีแค่ไหนแล้ว" พ่อผู้ใหญ่ได้ยินก็ห้ามหลานสาวตัวเองและบอกให้น้องแนนพูดคุยกับตนได้ น้องแนนก็ปรึกษาปัญหาสุขภาพของตนเองและพ่อผู้ใหญ่ก็จัดยาให้ หลานสาวของพ่อผู้ใหญ่รู้สึกไม่ค่อยพอใจเพราะอยากให้ผู้ใหญ่พักผ่อนมากๆ ไม่อยากให้ใครมารบกวน น้องแนนได้ยาและเดินออกมาจากห้องพร้อมแม่และไม่ยอมมองไปที่หลานสาวของผู้ใหญ่เลยเพราะเสียใจและน้อยใจที่เขาไม่ยอมให้ตัวเองได้เข้าพบและพูดคุยกับผู้ใหญ่ พอขับรถออกมาก็บ่นกับแม่ว่า "ไม่ยอมให้เราเข้าไปพบผู้ใหญ่ง่ายๆ ก็ทีหนึ่งแล้ว แถมยังมาบอกว่าไม่ให้พูดกับพ่อผู้ใหญ่อีก หนูรู้สึกเสียใจมากเลย และน้อยใจเขาด้วย" แม่เลยถามลูกสาวว่า "ลูกได้เข้าพบพ่อผู้ใหญ่หรือเปล่าละจ๊ะ" ลูกสาวตอบว่า "ได้แต่หนูก็ยังรู้สึกเสียใจกับคำพูดของเขาอยู่" แม่ถามต่อว่า "ตอนแรกเราคิดว่าจะได้เ้ข้าไปเยี่ยมเฉยๆ แต่เรากลับได้พูดคุยกับพ่อผู้ใหญ่ แถมพ่อผู้ใหญ่ยังจัดยาให้อีกใช่ไหม" และแม่ก็บอกว่า "แล้วเราจะยังไปเสียใจกับเรื่องอื่นและคนอื่นทำไม ก็ในเมื่อเรามาไม่เสียเที่ยว ได้ทั้งเข้าเยี่ยมและได้ยามารักษาตัวเอง ซึ่งเกินเป้าหมายของเราแล้ว เราน่าจะดีใจไม่ใช่หรือ"

ลูกสาวดูอารมณ์สงบลงและขับรถต่อกลับบ้านและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

ไม่มีใครทำให้เราเสียใจ ยกเว้นตัวเราเอง

......แด่แม่ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ดูแลทั้งกายและใจตลอดมา........

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น้อยหน่าเป็นของใคร

แม่กับลูกสาวได้ไปเก็บลูกน้อยหน่าด้วยกันในสวน เพื่อที่จะให้ลูกสาวเอาไว้กินเมื่อกลับไปที่ทำงานที่ต่างจังหวัด ลูกน้อยหน่าที่จะเก็บจะต้องเป็นลูกที่แก่ ตาของเปลือกน้อยหน่าจะใหญ่ๆ บางลูกก็พร้อมจะสุกจนแตกออกมา แต่วันนี้แม่บ่นกับลูกว่า "มาเก็บไม่ทันเขาเลย มีคนแอบมาเก็บน้อยหน่าอยู่เรื่อยๆ" ลูกก็เลยถามแม่ว่า "แม่คิดว่าใครที่จะมาเก็บน้อยหน่าได้" แม่ตอบอย่างมั่นใจว่า "ก็คนที่อยู่ข้างๆ สวนเรานี่ไง เขาชอบอ้างว่ามาเก็บลูกมะเฟืองที่หล่นที่พื้น แต่ที่จริงเขาก็แอบมาเก็บน้อยหน่าด้วย" ลูกพูดลอยๆกับแม่ว่า "น้อยหน่านี้ใครควรจะเป็นเจ้าของและมีสิทธิ์ได้กินมัน" ลูกสาวจ้องมองไปที่ลูกน้อยหน่าและทำเหมือนจะถามลูกน้อยหน่าด้วย แม่ตอบอย่างมั่นใจว่า "ก็สวนของเรา น้อยหน่าก็ต้องเป็นของเรา เราก็ต้องได้กินแน่นอน" ลูกสาวบอกแม่ว่า "ลูกเห็นว่าน้อยหน่า้มันคงไม่รู้หรอกว่าใครควรจะเป็นคนได้กิน มันก็ออกลูกของมันเองตามธรรมชาติ ใครเห็นมันและอยากกินลูกของมัน มันก็คงจะยินดีที่จะให้กิน เราเองต่างหากที่ไปตัดสินว่ามันเป็นของเรา แต่จริงๆ ต้นน้อยหน่ามันไม่รู้เรื่องอะไรกับเราเลย" แม่เลยนิ่งคิดอยู่นาน และลูกก็พูดต่อว่า "แม่คงไม่ได้มาเฝ้าดูต้นน้อยหน่าทุกวันหรอกว่าลูกไหนจะสุกแล้วบ้าง ฉะนั้นใครมาเห็นว่าลูกไหนจะสุกแล้ว ก็ให้เขาเอาไปกินเลย น้อยหน่าจะได้ไม่หล่นลงมาที่พื้นทิ้งเสียเปล่า"

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ต้นไม้ก็ยังผ่านมรสุมชีวิตมาได้

เมื่อถึงวันเปิดเรียน มองไปรอบๆบริเวณโรงเรียนพบว่าต้นไม้เหี่ยวเฉาและแห้งแล้งมาก ปีนี้เป็นปีที่ร้อนและแห้งแล้ง อากาศร้อนเกือบ 40 องศา มิหนำซ้ำเจ้ามดดำและปลวกยังมาก่อตัวทำรังบนต้นไม้อีกด้วย โดยเฉพาะมดดำที่สามารถกัดรองเท้าจนสีเดิมเลือนหายไปหมด แล้วถ้ามันไปกัดต้นไม้ พร้อมๆกับการทำงานของปลวกบนต้นไม้ด้วย ต้นไม้เจอมรสุมทั้งอากาศร้อน ปลวกและมดกัดเซาะลำต้น ถ้าต้นไม้ไม่แกร่งจริงมันก็คงตายยืนต้นเป็นแน่นอน ในรอบปีต้นไม้ทุกต้นต้องพยายามรักษาชีวิตของตัวมันเองให้ผ่านหน้าแล้งไปให้ได้ เหมือนคนเราเองก็ต้องมีการเจ็บป่วยและอ่อนแอในบางเวลา แต่ถ้าเราไม่ได้ดูแลตนเอง นอนดึก เครียด สูบบุหรี่ กินอาหารที่เน้นเนื้อสัตว์ ไม่ออกกำลังกาย ร่างกายเราก็คงจะต้านโรคภัยที่มันจ้องจะเบียดเบียนเราไม่ไหว โดยเฉพาะเซลมะเร็งที่มีอยู่แล้วในร่างกายเรา เมื่ออายุมากเข้า ถ้าเราไม่รู้จักทานผักผลไม้ มัวแต่ใฝ่หาเรื่องที่เป็นทรัพย์ภายนอกจนลืมดูแลร่างกายและทรัพย์ภายในคือจิตใจตัวเอง โรคมะเร็งก็จะถามหาแน่นอน ต้นไม้ยังพยายามผ่านช่วงเวลาที่แห้งแล้งเพื่อรักษาชีวิตมาได้ คนเราก็ต้องรู้จักรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงและเข้มแข็งเป็นพลังของสังคมต่อไป

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทแรก...

Honesty is the first chapter
in the book of wisdom.
.

ความซื่อสัตย์เป็นบทแรก
ของหนังสือแห่งปัญญา.
.

 Thomas Jefferson. 

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ใยปัญญาจากต้นไม้

เมื่อวานนี้คุณครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ไปเยี่ยมบ้านครูอ้น

ก่อนไปครูอ้นและอาจารย์นฤมลซึ่งเป็นอาจารย์ของครูมาที่โรงเรียนและได้นำชุดสไลด์ที่แสดงออกถึงความตั้งใจในการสร้างผืนป่าในที่ดินที่ทุกคนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถปลูกต้นไม้ได้ เพราะที่ดินที่ครูอ้นซื้อด้านล่างเป็นดินดานแข็งมาก แต่ครูได้แสดงออกถึงพลังแห่งการเห็นคุณค่าของต้นไม้และลงมือปลูกต้นไม้ของตนเองทุกต้น ครูอ้นนำชมต้นไม้ที่ตนเองปลูกและบอกสรรพคุณของต้นไม้ ครูอ้นและอาจารย์นฤมลได้ทำน้ำอัญชัญให้พวกเราได้ดื่ม และเล่านิทานเรื่องนางอรพิมกับท้าวปาจิกซึ่งเป็นนิทานชาดกที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวโยงกับสถานที่ของจังหวัดบุรีรัมย์ "วันนี้เราได้สัมผัสไอรักจากคนที่รักต้นไม้และความปรารถนาดีของครูที่มีต่อศิษย์ ทำให้ใยปัญญาเราได้ถูกกระตุ้นให้น้อมนำมาสู่ตัวเราที่เราต้องเห็นคุณค่าของต้นไม้ทุกต้นและเห็นคุณค่าของการได้เกิดเป็นมนุษย์และยังได้เป็นครูที่หล่อหลอมศิษย์ คุณค่าของเราก็อยู่ที่ตัวเราสร้าง ไม่ใช่อยุ่ที่สิ่งอื่นหรือผู้อื่น"