วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อารมณ์-จิตวิญญาณ...

      อารมณ์-จิตวิญญาณต่างมีความปรารถนาในความอยากมากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกัน คนเราดำรงชีวิตอยู่เพียงอาหารไม่กี่คำก็สามารถทำลายความหิวลงได้ แต่ความหิวทางจิตวิญญาณที่ประกอบด้วยความโลภ ความโกรธและความหลงยากแก่การเติมเต็มให้หมดสิ้นได้..


     รางวัลที่ยิ่งใหญ่ในจิตมนุษย์คือ การมอบรางวัลแห่งความอยากลงไปในอารมณ์ต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตใจ บ่อยครั้งที่เราตกเป็นทาสอารมณ์แห่งความอยากในจิตใจที่ต้องคอยบำรุงบำเรออยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ถามตนเองสักนิดว่า เวลาที่เราหิวเรากินเพื่อตอบสนองความอยากหรือกินเพื่อหยุดระงับความอยาก.. 
     หากเรากินเพื่อตอบสนองความอยากเราคงต้องทุรนทุรายกระเสือกกระสนวุ่นวาย ที่ต้องคอยแสวงหาเครื่องบำรุงต่าง ๆ มาตอบสนองมัน.. 
     หากเรากินเพื่อหยุดระงับความอยากเราคงไม่ต้องดิ้นรนเดือดร้อน เพื่อแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาบำรุง บำเรอมันตามที่มันต้องการเพียงเพราะดับความอยาก ดับที่ใจของเราเป็นอันดับแรก นั่นก็คือ ฝึกฝืนความรู้สึกบ้าง แล้วเราจะได้รับรางวัลแห่งความหิวที่มีกินไม่มีวันอิ่มได้อย่างแน่นอน...

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มีสติกับกายและใจภายใน


ดูกายดูใจดูความคิด มีสติที่จิตภายใน
นิ่งลึกอยู่ด้านใน ปัญญาเกิดว่ากายใจอนิจจัง
ดูข้างนอกดูไป ไม่จบสิ้น
ยิ่งดูยิ่งดิ้น หลายจุดหมาย
ดูภายในใจและกาย ทำความเข้าใจอนัตตา

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ทรัพย์ทางปัญญา...

คนเรานั้นไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้
เพราะความรู้นั้นจะอยู่ติดตัวเราไปจนแก่เฒ่า
เป็นทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใช้จะยิ่งมีมากขึ้น.. มากขึ้น
และจะนำชีวิตเราไปในทางที่ดี เหมือนแสงไฟที่ส่องนำทาง
แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมีแสงรำไรให้เรามองเห็น...



ไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้เราได้ทั้งชีวิต
เราควรศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆในโลก ทั้งทางวิชาการ และความรู้ทั่วไป
ที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ใช้ทรัพย์ทางปัญญาของเราสร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสังคม
เพราะสิ่งเหล่านั้นจะยังคงอยู่แม้เวลาจะผ่านไป...

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

เรียนรู้แบบครูนอกกะลา - ถอนความคิดเดิม


เรียนรู้แบบครูนอกกะลา
ที่โรงเรีียนลำปลายมาศพัฒนา เมื่อมาเป็นครูใหม่ๆ คิดว่าเราจะต้องใช้เสียงดัง ตีเด็กถ้าเด็กดื้อ เคาะโต๊ะ เคาะกระดานถ้าเด็กไม่ฟัง แต่เมื่อเรียนรู้ได้กับแนวปฏิบัติของครูที่นี่ ความคิดเราเปลี่ยน การปฏิบัติของเราต่อเด็กก็เปลี่ยนไป
ถ้าย้อนไปจากการถูกเลี้ยงดูของพ่อแม่ เราไม่ชอบที่พ่อแม่ด่าว่าเรา ไม่ชอบที่ท่านตี หรือมาโรงเรียนเราก็ไม่ชอบครูเสียงดัง ครูดุด่า ครูตีเด็ก สิ่งนี้เราไม่ชอบทั้งนั้น การถูกหล่อหลอมแบบครูนอกกะลาของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ทำให้เราเรียนรู้ว่ามีวิธีการมากมายที่เราจะสอนเด็กโดยไม่ใช้เสียงดุด่าหรือไม้เรียวช่วย แต่เราใช้ใจสื่อสารกับใจ เมื่อเราใช้เสียงเบา เด็กก็จะเสียงเบา เมื่อเราบอกด้วยเหตุผล เด็กก็จะเป็นคนมีเหตุผล ถ้าเราไม่ใช้การลงโทษด้วยการตี เด็กก็จะมีบุคลิกที่อ่อนโยน ไม่รังแกคนอื่น เชื่อไหมว่าถ้าเราตีเด็ก 1 ครั้ง เด็กก็จะทำเช่นเดียวกับเราโดยการตีหรือแสดงออกที่รุนแรงและใช้อารมณ์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพราะการลงโทษด้วยวิธีที่รุนแรงมันฝังอยู่ข้างในนานแสนนาน และไม่รู้ว่ามันจะถูกลบออกได้ตอนไหน
เมื่อใดที่เด็กแสดงออกด้วยวิธีที่รุนแรง ครูหรือผู้ใหญ่ต้องใช้วิธีนุ่มนวลมากๆ "เมื่อไรที่ไฟลุกโหม เรายังต้องใช้น้ำดับไฟ เมื่อไรเด็กมีอารมณ์รุนแรง เราต้องใช้น้ำใจช่วยดับความรุนแรงนั้น"

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เอาชีวิตรอดกับเอาตัวรอด


คนเราเกิดมาต้องดิ้นรนให้ตัวเองมีชีวิตรอดอยู่ได้ ดิ้นรนที่จะต้องทำมาหากิน มีเสื้อผ้าใส่ หาที่ให้ตนเองอยู่ ถ้าโชคดีก็มีพ่อแม่ที่คอยเลี้ยงดูให้ความรักความอบอุ่น บางคนโชคร้ายก็ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก พ่อแม่แทบไม่รู้จัก เป็นเด็กเร่ร่อน ขอทาน ชีวิตไร้ความหวังไร้หนทางที่จะไป เพราะไม่มีคนให้กำลังใจให้ความหวังที่จะสู้ต่อไป แต่ถ้าดีหน่อยได้ผู้ใหญ่ที่คอยอุ้มชู พอที่จะทำดีต่อไปไม่หลงทาง ซึ่งมีตัวอย่างที่น่านับถืออย่าง "ไล่ตงจิ้นลูกขอทาน ที่บางวันแทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้อง รับภาระขอทานเลี้ยงน้อง แม่ปัญญาอ่อน พ่อตาบอด เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นผ้าห่อศพ เสื้อผ้าของคนตาย แต่สู้ชีวิต มีครูและคนอื่นๆ ให้กำลังใจจนประสบผลสำเร็จและเห็นคุณค่าของการมีชีวิต"

บางคนโชคดีที่มีทุกอย่างพร้อม แต่มีปัญญาที่มีลักษณะ "เอาตัวรอดเป็นยอดดี" ซึ่งในความหมายบางมุมที่ซ่อนอยู่ข้างในคือ ความเห็นแก่ตัว เอาตัวให้พ้นผิด รู้วิธีที่จะให้ตนเองพ้นๆ จากสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ จนสิ่งที่ตนเองพยายามสลัดออกนั้นอาจไปตกอยู่ที่คนอื่น

ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งให้โอวาทว่า "เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็อย่าให้เสียชาติเกิดของความเป็นมนุษย์"

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บ่อเกิดแห่งปัญญา...

เราต้องเข้าใจชัดเจนทั้งสองอย่าง
ในการปฏิบัติของเรา เราต้องพยายามติดตามดูความรู้สึกนึกคิด
ตลอดวันตลอดคืน ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะเมื่ออยู่ที่วัด
ตั้งแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานหรือเที่ยวไป
ก็ตามพยายามคอยระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองติดตามศึกษา..
 ความจริงเราไม่ต้องทำอะไรมาก
เพียงแต่คอยสำรวมระวังคอยสังเกตว่า
เรามีความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร
ให้มีสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้อยู่ รู้สึกตัวอยู่เสมอ
อันนี้ให้ถือเป็นหน้าที่ของเรา
เราไม่ต้องอ่านหนังสือหรือฟังเทศน์ อะไรมากมาย
เพียงแต่พยายามเปลี่ยนนิสัยให้ เป็นคนช่างสังเกต
คือ สังเกตความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

สังเกตว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร
การปฏิบัติเช่นนี้ การพยายามติดตามสังเกตเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญญา

โรงเรียนธรรมชาติ


วันนี้เป็นวันหยุด ครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาบางคนชักชวนกันเข้าป่าหาเห็ดในป่าโคกหีบ ป่านี้เป็นป่าอนุรักษ์ของตำบลโคกกลางที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเลย เราตื่นตั้งแต่ตีห้า โดยนำไฟฉายไปด้วย ขับรถมอเตอร์ไซต์ 2 คันซ้อนกันไปทั้งหมดสี่คน เมื่อหาที่จอดรถได้แล้วเราก็แยกเป็นสองกลุ่มเพื่อเดินหาเห็ดกัน ใช้เวลาแค่ประมาณชั่วโมงครึ่งเราก็ได้เห็ดพอที่จะแกงและทำน้ำพริกเห็ดได้แล้ว และยังเก็บผักติ้ว ผักหลอดมาใส่ในแกงเห็ดและกินกับน้ำพริกด้วย เห็ดที่เราเก็บได้มีทั้งเห็ดไค เห็ดน้ำหมาก เห็ดดิน เห็ดถ่าน เห็ดเพ็ก และเห็ดมันปู
หลังจากกลับมาที่โรงเรียนแล้วเรายังมาเก็บเห็ดโคนที่โรงเรียนได้อีก เห็ดโคนมักจะออกเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามหญ้า และใต้ต้นไม้ที่มีใบไม้หล่นปกคลุมอยู่ นอกจากนี้เรายังเก็บผักบุ้งนาของโรงเรียนมากินกับน้ำพริกด้วย เช้านี้เรารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมเพื่อนครูเป็นสิบคนที่มาร่วมกินแกงเห็ดแสนอร่อย และน้ำพริกเห็ดไคสุดแซบ

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เด็กๆ ใครเป็นผู้สร้าง


เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า
การพัฒนาเด็กเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ซึ่งแน่นอนพ่อแม่และครูต้องช่วยกัน ส่วนผู้ใหญ่คนอื่นถ้าได้เข้ามามีส่วนร่วมกันมากๆ ก็ยิ่งเป็นเครือข่ายในการสร้างเด็กเพื่อเป็นเยาวชนของประเทศ วันนี้(20 ตุลาคม 53)ก็เช่นเดียว ครูอ้นและอาจารย์นฤมลก็มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ครูอ้นยังรับเด็ก 2 คนมาเรียนรู้กับครูอ้นที่ผืนป่าระเมียรไม้ซึ่งเป็นบ้านครูอ้นในช่วงปิดเทอม ถึงแม้ว่าครูอ้นจะไม่ได้เป็นครูในระบบก็ตาม ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่เห็นคุณค่าของการพัฒนาเด็กให้เป็นคนดีค่ะ

เราจะเลือกดีใจหรือเสียใจ


วันหนึ่งแม่กับลูกสาวชื่อน้องแนน พากันไปกราบขอพรผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ตนเองนับถือที่อยู่ในหมูบ้านภายในอำเภอเดียวกัน ผู้ใหญ่ท่านนี้อายุมากแล้วและมีคนนับถือมากมายทั้งในจังหวัดเดียวกันและต่่างจังหวัดไกลๆ ท่านมีความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรคและไม่เคยคิดเงินเวลาคนมารักษา ท่านเป็นคนดีมีเมตตามาก ชื่อเสียงท่านเป็นที่รู้จักมานานทุกคนที่มาก็อยากจะเข้าพบท่าน แค่ได้คุยกับท่าน เห็นรอยยิ้มของท่าน ก็ราวกับจะหายป่วยแล้ว น้องแนนเดินทางกลับมาจากที่ทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน ซึ่งทั้งสองคนเคยได้รับการรักษาจากผู้ใหญ่ท่านนีั้้้ สองแม่ลูกจึงตั้งใจจะไปกราบและนำของมาเยี่ยมท่านผู้ใหญ่ด้วย โดยที่ลูกสาวเพิ่งพักผ่อนได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะขับรถมาไกล พอไปถึงบ้านผู้ใหญ่ก็มีหลานสาวของผู้ใหญ่บอกให้รอก่อน โดยบอกว่า "ท่านผู้ใหญ่พักผ่อนอยู่ท่านไม่ค่อยสบาย ขอให้รอถึงบ่ายสองโมง" แม่ลูกต้องรออีกประมาณสองชั่วโมง เมื่อถึงบ่ายสองตามที่หลานสาวของผู้ใหญ่นัดไว้ น้องแนนก็เข้าไปถาม หลานผู้ใหญ่ตอบว่า "ท่านยังไม่ตื่นเลย" น้องแนนก็เสียใจเพราะตัวเองขับรถมาไกลมาก ไม่อยากมาเสียเที่ยวจึงเข้าไปอ้อนวอนหลานผู้ใหญ่ว่า "ฉันเดินทางมาตั้ง 300 กิโลเมตร ขอให้ฉันได้เข้าไปเยี่ยมท่านผู้ใหญ่เถอะนะ" และแม่ก็เข้าไปรบเร้าหลานสาวผู้ใหญ่ด้วย เมื่อหลานสาวผู้ใหญ่เห็นความตั้งใจจึงเข้าไปดูว่าผู้ใหญ่ตื่นหรือยัง และเดินมาบอกว่า "ท่านตื่นแล้ว แต่ท่านพูดไม่ได้แล้วนะ ท่านกำลังไม่สบาย ให้แค่เอาของมาให้ท่านก็พอ" แม่ลูกดีใจมากและตามหลังหลานสาวผู้ใหญ่เข้าไปในห้อง พอเข้าไปก็เห็นมีกลุ่มคนสองสามคนนั่งรออยู่ และผู้ใหญ่ก็ลุกขึ้นนั่งได้ ลูกสาวก็ดีใจแสดงว่าผู้ใหญ่ไม่ได้ถึงกับนอนซมและก็อยากจะปรึกษาปัญหาสุขภาพของตนเองด้วย พอแขกที่มาเยี่ยมกลุ่มแรกเสร็จแล้ว น้องแนนก็ขอหลานสาวผู้ใหญ่ว่า "ขอคุยกับพ่อผู้ใหญ่ได้ไหม" หลานสาวผู้ใหญ่บอกทันทีว่า "ไม่ได้ ท่านไม่สบาย หมอสั่งห้ามพูด แค่ให้เข้ามาเยี่ยมก็ดีแค่ไหนแล้ว" พ่อผู้ใหญ่ได้ยินก็ห้ามหลานสาวตัวเองและบอกให้น้องแนนพูดคุยกับตนได้ น้องแนนก็ปรึกษาปัญหาสุขภาพของตนเองและพ่อผู้ใหญ่ก็จัดยาให้ หลานสาวของพ่อผู้ใหญ่รู้สึกไม่ค่อยพอใจเพราะอยากให้ผู้ใหญ่พักผ่อนมากๆ ไม่อยากให้ใครมารบกวน น้องแนนได้ยาและเดินออกมาจากห้องพร้อมแม่และไม่ยอมมองไปที่หลานสาวของผู้ใหญ่เลยเพราะเสียใจและน้อยใจที่เขาไม่ยอมให้ตัวเองได้เข้าพบและพูดคุยกับผู้ใหญ่ พอขับรถออกมาก็บ่นกับแม่ว่า "ไม่ยอมให้เราเข้าไปพบผู้ใหญ่ง่ายๆ ก็ทีหนึ่งแล้ว แถมยังมาบอกว่าไม่ให้พูดกับพ่อผู้ใหญ่อีก หนูรู้สึกเสียใจมากเลย และน้อยใจเขาด้วย" แม่เลยถามลูกสาวว่า "ลูกได้เข้าพบพ่อผู้ใหญ่หรือเปล่าละจ๊ะ" ลูกสาวตอบว่า "ได้แต่หนูก็ยังรู้สึกเสียใจกับคำพูดของเขาอยู่" แม่ถามต่อว่า "ตอนแรกเราคิดว่าจะได้เ้ข้าไปเยี่ยมเฉยๆ แต่เรากลับได้พูดคุยกับพ่อผู้ใหญ่ แถมพ่อผู้ใหญ่ยังจัดยาให้อีกใช่ไหม" และแม่ก็บอกว่า "แล้วเราจะยังไปเสียใจกับเรื่องอื่นและคนอื่นทำไม ก็ในเมื่อเรามาไม่เสียเที่ยว ได้ทั้งเข้าเยี่ยมและได้ยามารักษาตัวเอง ซึ่งเกินเป้าหมายของเราแล้ว เราน่าจะดีใจไม่ใช่หรือ"

ลูกสาวดูอารมณ์สงบลงและขับรถต่อกลับบ้านและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

ไม่มีใครทำให้เราเสียใจ ยกเว้นตัวเราเอง

......แด่แม่ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ดูแลทั้งกายและใจตลอดมา........

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น้อยหน่าเป็นของใคร

แม่กับลูกสาวได้ไปเก็บลูกน้อยหน่าด้วยกันในสวน เพื่อที่จะให้ลูกสาวเอาไว้กินเมื่อกลับไปที่ทำงานที่ต่างจังหวัด ลูกน้อยหน่าที่จะเก็บจะต้องเป็นลูกที่แก่ ตาของเปลือกน้อยหน่าจะใหญ่ๆ บางลูกก็พร้อมจะสุกจนแตกออกมา แต่วันนี้แม่บ่นกับลูกว่า "มาเก็บไม่ทันเขาเลย มีคนแอบมาเก็บน้อยหน่าอยู่เรื่อยๆ" ลูกก็เลยถามแม่ว่า "แม่คิดว่าใครที่จะมาเก็บน้อยหน่าได้" แม่ตอบอย่างมั่นใจว่า "ก็คนที่อยู่ข้างๆ สวนเรานี่ไง เขาชอบอ้างว่ามาเก็บลูกมะเฟืองที่หล่นที่พื้น แต่ที่จริงเขาก็แอบมาเก็บน้อยหน่าด้วย" ลูกพูดลอยๆกับแม่ว่า "น้อยหน่านี้ใครควรจะเป็นเจ้าของและมีสิทธิ์ได้กินมัน" ลูกสาวจ้องมองไปที่ลูกน้อยหน่าและทำเหมือนจะถามลูกน้อยหน่าด้วย แม่ตอบอย่างมั่นใจว่า "ก็สวนของเรา น้อยหน่าก็ต้องเป็นของเรา เราก็ต้องได้กินแน่นอน" ลูกสาวบอกแม่ว่า "ลูกเห็นว่าน้อยหน่า้มันคงไม่รู้หรอกว่าใครควรจะเป็นคนได้กิน มันก็ออกลูกของมันเองตามธรรมชาติ ใครเห็นมันและอยากกินลูกของมัน มันก็คงจะยินดีที่จะให้กิน เราเองต่างหากที่ไปตัดสินว่ามันเป็นของเรา แต่จริงๆ ต้นน้อยหน่ามันไม่รู้เรื่องอะไรกับเราเลย" แม่เลยนิ่งคิดอยู่นาน และลูกก็พูดต่อว่า "แม่คงไม่ได้มาเฝ้าดูต้นน้อยหน่าทุกวันหรอกว่าลูกไหนจะสุกแล้วบ้าง ฉะนั้นใครมาเห็นว่าลูกไหนจะสุกแล้ว ก็ให้เขาเอาไปกินเลย น้อยหน่าจะได้ไม่หล่นลงมาที่พื้นทิ้งเสียเปล่า"

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ต้นไม้ก็ยังผ่านมรสุมชีวิตมาได้

เมื่อถึงวันเปิดเรียน มองไปรอบๆบริเวณโรงเรียนพบว่าต้นไม้เหี่ยวเฉาและแห้งแล้งมาก ปีนี้เป็นปีที่ร้อนและแห้งแล้ง อากาศร้อนเกือบ 40 องศา มิหนำซ้ำเจ้ามดดำและปลวกยังมาก่อตัวทำรังบนต้นไม้อีกด้วย โดยเฉพาะมดดำที่สามารถกัดรองเท้าจนสีเดิมเลือนหายไปหมด แล้วถ้ามันไปกัดต้นไม้ พร้อมๆกับการทำงานของปลวกบนต้นไม้ด้วย ต้นไม้เจอมรสุมทั้งอากาศร้อน ปลวกและมดกัดเซาะลำต้น ถ้าต้นไม้ไม่แกร่งจริงมันก็คงตายยืนต้นเป็นแน่นอน ในรอบปีต้นไม้ทุกต้นต้องพยายามรักษาชีวิตของตัวมันเองให้ผ่านหน้าแล้งไปให้ได้ เหมือนคนเราเองก็ต้องมีการเจ็บป่วยและอ่อนแอในบางเวลา แต่ถ้าเราไม่ได้ดูแลตนเอง นอนดึก เครียด สูบบุหรี่ กินอาหารที่เน้นเนื้อสัตว์ ไม่ออกกำลังกาย ร่างกายเราก็คงจะต้านโรคภัยที่มันจ้องจะเบียดเบียนเราไม่ไหว โดยเฉพาะเซลมะเร็งที่มีอยู่แล้วในร่างกายเรา เมื่ออายุมากเข้า ถ้าเราไม่รู้จักทานผักผลไม้ มัวแต่ใฝ่หาเรื่องที่เป็นทรัพย์ภายนอกจนลืมดูแลร่างกายและทรัพย์ภายในคือจิตใจตัวเอง โรคมะเร็งก็จะถามหาแน่นอน ต้นไม้ยังพยายามผ่านช่วงเวลาที่แห้งแล้งเพื่อรักษาชีวิตมาได้ คนเราก็ต้องรู้จักรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงและเข้มแข็งเป็นพลังของสังคมต่อไป

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทแรก...

Honesty is the first chapter
in the book of wisdom.
.

ความซื่อสัตย์เป็นบทแรก
ของหนังสือแห่งปัญญา.
.

 Thomas Jefferson. 

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ใยปัญญาจากต้นไม้

เมื่อวานนี้คุณครูของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ไปเยี่ยมบ้านครูอ้น

ก่อนไปครูอ้นและอาจารย์นฤมลซึ่งเป็นอาจารย์ของครูมาที่โรงเรียนและได้นำชุดสไลด์ที่แสดงออกถึงความตั้งใจในการสร้างผืนป่าในที่ดินที่ทุกคนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถปลูกต้นไม้ได้ เพราะที่ดินที่ครูอ้นซื้อด้านล่างเป็นดินดานแข็งมาก แต่ครูได้แสดงออกถึงพลังแห่งการเห็นคุณค่าของต้นไม้และลงมือปลูกต้นไม้ของตนเองทุกต้น ครูอ้นนำชมต้นไม้ที่ตนเองปลูกและบอกสรรพคุณของต้นไม้ ครูอ้นและอาจารย์นฤมลได้ทำน้ำอัญชัญให้พวกเราได้ดื่ม และเล่านิทานเรื่องนางอรพิมกับท้าวปาจิกซึ่งเป็นนิทานชาดกที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวโยงกับสถานที่ของจังหวัดบุรีรัมย์ "วันนี้เราได้สัมผัสไอรักจากคนที่รักต้นไม้และความปรารถนาดีของครูที่มีต่อศิษย์ ทำให้ใยปัญญาเราได้ถูกกระตุ้นให้น้อมนำมาสู่ตัวเราที่เราต้องเห็นคุณค่าของต้นไม้ทุกต้นและเห็นคุณค่าของการได้เกิดเป็นมนุษย์และยังได้เป็นครูที่หล่อหลอมศิษย์ คุณค่าของเราก็อยู่ที่ตัวเราสร้าง ไม่ใช่อยุ่ที่สิ่งอื่นหรือผู้อื่น"