วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

คน(ครู)เท่านั้นที่จะสอนคนให้เป็นคน


ลองย้อนนึกดูว่าตอนเด็กเรามีคนที่คอยดูแลคือพ่อแม่ ดูแลทั้งให้นม ป้อนข้าว หาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้ เมื่อเจ็บป่วยไม่สบาย พ่อแม่ก็หาหยูกยา เช็ดตัวเมื่อตัวร้อน โตมาพอสอนอะไรได้ก็สอน สอนให้กินข้าวเอง ใส่เสื้อผ้าเอง เก็บของเอง สอนให้ซักเสื้อผ้าของตัวเอง ถ้าพอทำให้คนอื่นได้ก็จะให้ทำ เช่น ทำอาหาร ถูบ้าน ล้างจาน ตักน้ำ ทำความสะอาดเครื่องใช้ต่างๆ ตลอดจนทำงานที่พ่อแม่ใช้ให้ทำตามอาชีพและความเป็นอยู่แต่ละครอบครัว ถ้าครอบครัวไหนค้าขายก็ให้ช่วยขายของ ครอบครัวไหนทำนาก็ให้ช่วยทำนา ครอบครัวไหนที่ทำสวนก็ให้เข้าสวน ตอนกิ่งต้นไม้ ปลูกต้นไม้ในสวน ทุกอย่างนี้อยู่ในสายตาพ่อแม่หมด โตมาก็เข้าโรงเรียนที่จะช่วยให้เราเป็นคนดีเสริมกันกับที่ครอบครัวหล่อหลอมมา ตอนนี้แหละที่เราต้องเรียนรู้การคบเพื่อน และปรับตัวกับครูที่เป็นพ่อแม่คนที่สองของเรา ครูดีเด็กก็ดี พ่อแม่แนะนำในทางที่ดี เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ต้องมีหน้าที่สอนเด็ก ผู้ใหญ่ที่ละเลยไม่ดูแลเด็ก ก็เสียเวลาเกิดมานานเสียเปล่า เพื่อนดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับตัวเราที่จะเลือกคบเพื่อนแบบไหน เราควรจะรู้ว่าเราจะทำอะไรกับเพื่อนคนไหน พ่อแม่และครูก็เพียงแต่แนะนำการปฏิบัติตัวกับเพื่อนเท่านั้น เขาไม่สามารถดูแลเราเกี่ยวกับเพื่อนได้ทุกอย่าง เราต้องใช้วิจารณญาณในการคบเพื่อนเอง ถ้าโตมาหน่อยเราทำงานก็ต้องมีรุ่นพี่คอยแนะนำการทำงาน เราต้องมีพี่เลี้ยงดูแลการทำงานของเรา ถ้าหากต้องการจะเรียนรู้ตนเองและทำความเข้าใจในธรรมชาติซึ่งเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น ก็ต้องมีครูบาอาจารย์ช่วยสอนเรา แนะนำเรา ถ้าบวชก็ต้องมีพระอุปัชฌา และผู้ที่เรายอมรับที่จะเป็นศิษย์เรียนรู้ข้อปฏิบัติจากท่าน ที่กล่าวมาจะเห็นว่ากว่าที่เราจะมาเป็นคนทุกวันนี้เราต้องผ่านครูกี่คนที่คอยบอกสอนเรา กว่าเราจะประหารความโง่ของเราได้ เราต้องใช้คนอีกกี่คนที่จะสอนเรา และถ้าเรายังลังเล ไม่ยอมเรียนรู้จากใครเลย คิดว่าตัวเองเก่ง เราก็จะเป็นคนจับจดและไม่เก่งซักอย่างและจะไม่เข้าใจความจริงอะไรเลย เราคิดว่าเราต้องการอะไรในบั้นปลายและจะเรียนรู้อะไร เราแน่ใจแล้วหรือที่เราจะสอนเราด้วยตัวของเราเอง ถ้าไม่แน่ใจก็จงมองหาเป้าหมายของชีวิต และมองหาครูบาอาจารย์ที่จะสอนเราซะ ไม่งั้นเราจะไม่เป็นคนที่สมบูรณ์จริงๆ ทั้งๆที่ผ่านคนที่เป็นครูมาก็มาก แต่คนที่เอาวัตถุมาเป็นครู(หลงวัตถุ ) ก็ยังไม่ต้องพูดกันเลย เพราะความเป็นคนไม่ได้อยู่ที่เงินทอง ของใช้ บ้าน โทรศัพท์ รถยนต์ หรือยศถาบันดาศักดิ์ จงเป็นอิสระจากสิ่งของภายนอกและสิ่งที่เป็นโลกๆ แล้วเราจะเป็นคนที่สมบูรณ์จริงๆ อยู่อย่างอิสระ ว่างจากตัวตน แต่มีคุณค่าสำหรับมวลมนุษย์ หลังจากที่ผ่านคนที่เป็นคน(ครู)ช่วยสอนเรามาไม่รู้กี่คน (รวมทั้งคนและสิ่งที่สอนเราจากความผิดพลาดต่างๆ ด้วย ก็ถือว่าคนนั้นหรือสิ่งนั้นก็เป็นครูของเราเช่นกัน)

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

เพื่อนที่แท้คือลมหายใจ


เพื่อนที่แท้คือลมหายใจ
การเรียนรู้ตัวเองเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องทำความเข้าใจ เราเกิดมาส่วนใหญ่ก็มาเดี่ยว (ยกเว้นแฝด) กินคนเดียว ขับถ่ายคนเดียว ป่วยคนเดียว เวลาตายเราก็ตายคนเดียว เสียดายที่คนมักจะคิดหาคู่ แต่งงาน มีลูก เพราะคิดว่า ลูกจะได้เลี้ยงเรา ญาติพี่น้องจะได้ดูแลเรา แต่พอถึงเวลาแล้ว คู่ของเราที่คิดว่าเขารักเรามากมาย แต่พออยู่กันไปต่างคนก็ต่างเบื่อกัน ไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร บางคนก็แยกกันแล้วก็ไปหาคนใหม่ อยู่กินกับคนใหม่ ลูกหลานของเราที่เราเลี้ยงมาแท้ๆ เขาก็เลี้ยงได้แต่ตัว พอถึงเวลาที่เขาต้องใช้ชีวิต เขาก็ไม่สนใจว่าพ่อแม่จะเป็นอย่างไร ญาติที่เคยดูแลมาจะเป็นอย่างไร ขอให้ตัวเองมีชีวิตรอด หาความสุขไปวันๆ ซึ่งความสุขของเด็กทุกวันนี้เป็นความสุขที่ฉาบฉวยกับวัตถุ เงิน โทรศัพท์มือถือ เครื่องแต่งกาย ซึ่งห่างไกลกับการทำความเข้าใจว่าสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ก็คือปัจจัยสี่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งของนอกกายและเพื่อนๆ ที่อาจพาไปในทางผิด แม้เวลาเราเจ็บ คนรักของเรา เพื่อนของเรา หรือญาติพี่น้องของเราก็ดูแลได้เฉพาะภายนอก ถ้าเราไม่ฝึกใจเราให้ดีเวลาป่วยแล้ว เราต้องเสียใจถ้าเขาไม่มาเฝ้าเรา ไม่มาให้เราเห็นหน้า หรือมาแต่ก็ไม่สนใจ สัจธรรมก็ปรากฏชัดเจนก็ตอนใกล้จะตายว่า เราต้องดูแลจิตใจเราให้ดี เพราะคนอื่นก็มีหน้าที่ที่เขาต้องทำ เขาไม่ได้มาเฝ้าเราตลอดทุกวินาที คนที่เฝ้าเราอยู่และเป็นเพื่อนเราจนวันสุดท้ายไม่ใช่คนรัก เพื่อน ลูกหรือญาติ แต่เป็นลมหายใจของเราเอง

“ดูลมหายใจ ทำกายนิ่ง ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ ลมหายใจเป็นเพื่อนเป็น คือถ้ามีลมก็มีชีวิตอยู่ แต่ถ้าไม่มีก็เป็นเพื่อนตาย ลมหายใจเป็นทั้งเพื่อนเป็นและเพื่อนตาย”