วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ครูคือแรงบันดาลใจ

เราเข้าโรงเรียนมาตั้งแต่วัยเด็ก แน่นอนว่าเด็กๆ ทุกคนเวลามาโรงเรียน เราต้องได้ปฏิสัมพันธ์กับครู ครูคือพ่อแม่คนที่สองของเรา คือคือผู้ที่แนะนำและให้โอกาสเรา ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือของนายแพทย์วิจารย์ พานิช ที่พยายามทำโครงการและให้แนวคิดในการพัฒนาและกระตุ้นให้ครูทำเพื่อลูกศิษย์ ไม่ใช่ให้ครูทำเพื่อตนเอง บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าได้ยินบางคนบอกว่าครูดุ ครูใจร้าย ครูตี ครูสอนไม่รู้เรื่อง ครูไม่เข้าห้องเรียน ครูอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่เรื่องไม่ดี แต่ชีวิตของข้าพเจ้า เต็มไปด้วยบุคคลที่เป็นครูที่ทำเพื่อลูกศิษย์จริงๆ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครูเป็นอย่างที่คนอื่นว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครูคนไหนในโรงเรียนที่ดุด่านักเรียน(หรือเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่เคยถูกดุก็ได้) มีครั้งหนึ่งตอนที่ข้าพเจ้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนประจำอำเภอแห่งหนึ่ง ครูได้พาเด็กๆ ในโรงเรียนไปเก็บขยะในบริเวณตลาด ข้าพเจ้ากำลังก้มเก็บขยะอย่างขมักเขม้น เอาไม้เสียบลูกชิ้นที่ไม่ใช้แล้วมาเสียบขยะพลาสติกทีละชิ้น ทีละชิ้น จนเต็มไม้ เมื่อเต็มไม้แล้วก็เอาไปทิ้งในถุงขยะรวมที่ครูเตรียมไว้ให้ แล้วข้าพเจ้าก็มาเก็บขยะต่อโดยที่ไม่สนใจใคร มีครูผู้ชายคนหนึ่ง ดูท่าทางใจดี ครูคนนี้ไม่เคยสอนข้าพเจ้าเลย ท่านเดินมาแล้วก็ยื่นขนมในมือให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าดีใจมาก จำไม่ได้ว่าท่านพูดอะไร แต่ข้าพเจ้าจำท่านได้จนกระทั่งวันนี้ และครูท่านนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าไม่อิดออดที่จะก้มลงเก็บขยะเมื่อเห็นขยะอยู่ข้างทาง ข้าพเจ้ารู้ว่าครูในโรงเรียนระดับประถมที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่นี้ให้โอกาสข้าพเจ้าให้ได้รับทุนการศึกษาถึงสองครั้ง ครั้งหนึ่งตอนอยู่ประถมศึกษาปีที่ ๓ และอีกครั้งตอนที่โรงเรียนจัดมอบวุฒิบัตรตอนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนเชิญผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง มามอบทุนการศึกษา ข้าพเจ้าก็ได้รับทุนนั้น ถึงจะมีจำนวนไม่มาก แต่มันมากสำหรับข้าพเจ้าที่จะหาเงินนั้นได้เองในวัยเด็ก เมื่อเสร็จพิธีแล้วข้าพเจ้ามาถามครูประจำชั้นซึ่งท่านเป็นครูผู้หญิงว่า "ครูคะ เงินจำนวนนี้หนูควรจะเอาไปใช้ทำอะไรดี?" ครูท่านนั้นตอบว่า "เอาไว้ใช้เรียนต่อซิ" ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่าจะเรียนต่อ เพราะพี่ๆ ของข้าพเจ้าทั้งสามคน เขาไม่ได้เรียนต่อ และในช่วงนั้นเป็นปีที่แล้งติดต่อกัน ชาวบ้านไม่สามารถทำนาได้เลย คนที่เรียนจบป.๖ มักจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ ข้าพเจ้าก็อยากไปกรุงเทพฯ กับเขาด้วย แต่ด้วยคำพูดของครู และผู้ใหญ่ใจดีคนนั้นให้ทุนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เลยขอแม่เรียนต่อระดับชั้นมัธยม ซึ่งท่านก็บ่นก่อน แต่ท่านก็ยอมให้เรียนเพราะเห็นเราตั้งใจมาก เมื่อเรียนมาจนกระทั่งมัธยมปลาย ข้าพเจ้าก็ภาคภูมิใจในการเป็นนักเรียนที่นี่ ครูที่นี่ก็ไม่เคยดุและให้โอกาสข้าพเจ้าเสมอ ให้โอกาสในการไปเรียนรู้การเกษตรกับโรงเรียนอื่นตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ และมีครูผู้ชายคนหนึ่งสอนภาษาอังกฤษชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ซึ่งครูสอนไม่เบื่อเลยและเปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าทำกิจกรรมอื่นๆ ในโรงเรียน จนเป็นผลให้ข้าพเจ้ามีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อเรียนชั้นมัธยมปลายตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖ จะมีวิชาหนึี่งคือวิชาพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องเรียนสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง ข้าพเจ้าก็ชอบมากเพราะครูใจดี ให้หนังสือข้าพเจ้าอ่านเกี่ยวกับมงคลชีวิต และหนังสือธรรมะอีกประมาณ ๒-๓ เล่ม และให้โอกาสในการไปทดสอบเหมือนแข่งขันกับโรงเรียนอื่น ข้าพเจ้าอ่านเล่มเดิมตั้งแต่ ม.๔- ม.๖ จนกระทั่งจำได้ทุกหน้ามีหรือที่ข้าพเจ้าจะทำข้อสอบไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าอ่านเล่มเดิมมา ๓ ปีนึกภาพถึงแต่ละหน้าในหนังสือก็ยังได้ อีกเหตุการณ์ที่สำคัญ ครูท่านนี้ได้แนะนำให้ข้าพเจ้าไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่ที่อยู่ในวัดป่าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านข้าพเจ้านัก บางครั้งถ้าท่านจะไปกับเพื่อนครูคนอื่นๆ ที่มีรถยนต์ ครูท่านนี้ก็จะชวนข้าพเจ้าไปด้วยทุกครั้ง และก็จะมีเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันไปด้วย จนสุดท้ายหลังจากเรียนจบชั้น ม.๖ แล้ว หลวงปู่ก็จัดปฏิบัติธรรมในวัดครั้งแรก ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ได้ไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ เพราะเพื่อนยังหาที่เรียนไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าทราบผลสอบมหาวิทยาลัยและรู้ที่เรียนแล้วก่อนปิดเรียน ข้าพเจ้าจึงสมองปรอดโปร่งตั้งใจปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์สอนทุกประการ โดยกิจก็คือ ตื่นตี ๔ สวดมนต์ เดินจงกรม ฉันมื้อเดียว เรียนการภาวนา ฟังธรรม โดยที่พระอาจารย์สองท่านเป็นคนสอน เมื่อพระอาจารย์เห็นว่าทุกคนที่มาครั้งนี้มีกำลังในการปฏิบัติพอสมควรก็ให้ออกเดินจาริก ช่วงนั้นเป็นเดือนเมษายน แดดร้อนมากๆ ครูท่านนี้ท่านก็ช่วยประสานงานตามสถานที่ที่จะไปพักตอนกลางคืน ครูไม่เดิน เพราะครูก็อายุใกล้วัยเกษียณ ข้าพเจ้าเรียนรู้การนั่งสมาธิ จิตสงบ ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจคำว่า "ความสุขเสมอด้วยความสงบไม่มี" ก็ตอนที่ได้ไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ฝึกความอดทนอย่างมาก เพราะเดินตากแดดตลอดทั้งวัน แต่ความสงบก็ไม่ทำให้คนที่ร่วมเดินในครั้งนั้น เป็นอะไรแม้แต่คนเดียว พลังกองทัพธรรม เดินไปอย่างเชื่องช้าและมุ่งมั่น บางวันเดินจนตัวเบา เดินจนไม่อยากหยุด ใช้เวลาทั้งหมด ๑๔ วัน ก็เดินมาถึงวัดเหมือนเดิม เนื้อตัวข้าพเจ้าเกรียมไหม้ หนังกำพร้าลอกคราบออกมาเลยหลังจากกลับวัดได้ ๒ วัน แต่ข้าพเจ้าซาบซึ้งถึงคุณค่าการเรียนรู้สัจธรรมถึงแม้จะไม่เข้าใจอะไรนอกจากความสงบ กล้าหาญในการเรียนรู้ธรรมมากขึ้น หลังจากแยกย้ายไปเรียนแล้วข้าพเจ้าก็ยังไปเยี่ยมครูท่านนี้ ครูที่ท่านได้พาข้าพเจ้าเดินทางสู่การเรียนรู้สัจธรรมที่มีค่ายิ่งสำหรับความเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงเคารพครูท่านนี้มาก ท่านยังนำเรื่องของข้าพเจ้าลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นบทความเกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ และข้าพเจ้ายังคำนึงถึงครูในระบบการศึกษาท่านนี้ ท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าปฏิบัติกับศิษย์ ดังที่ท่านได้ปฏิบัติกับศิษย์ทุกคนด้วยเมตตาธรรม อันเป็นธรรมอันประเสริฐที่มนุษย์พึงจะมีสำหรับมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้นแม้ใครจะพูดอย่างไรว่าครูที่สอนในระบบไม่ได้เรื่อง แต่ครูในระบบทุกคนของข้าพเจ้าเป็นคนวางพื้นฐานในทุกๆ ด้าน ท่านเป็นบันไดขั้นแรกๆ และขั้นต่อๆ ไปให้ข้าพเจ้า แม้ท่านจะไม่ใช่บันไดขั้นสุดท้าย แต่ข้าพเจ้าเชื่อในพลังของท่านที่จะส่งลูกศิษย์ไปให้ไกลเท่าที่ลูกศิษย์จะเป็นได้ บันไดขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับเรามากกว่า ว่าเราจะเอื้อมหรือไม่เอื้อมให้ถึงฝั่งเท่านั้นเอง